จะว่าไปแล้ววันนี้ ผมพอจะมีเวลาว่างเขียนบรรยายแนวทางการเลี้ยงลูกของผม โดยเฉพาะเจ้าแสนซน 2 คน (น้องเปรม / น้องแก้มหอม) เสียที หลังจากผัดผ่อนอยู่นานหลายครั้งจนเด็กๆ เติบโตขึ้นทุกวันๆ ในวันนี้ก็เลยถือเอาโอกาสอันดีแบบนี้เขียนบันทึกซะเลย หลังจากมีท่านนึงสอบถามมาหลังไมค์เกี่ยวกับอาหารเสริมยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งก็ให้ข้อมูลไปเป็นที่พอใจในระดับหนึ่ง
กลับมาว่ากันด้วยเรื่องแนวทางการเลี้ยงลูกของผมที่ห่างหายไปนาน หลังจากที่ผมเป็นคุณพ่อมือใหม่หัดผิดหัดถูกอยู่นานกับลูกคนแรก แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี มาในปัจจุบันผมมีลูกคนที่สองแล้ว ความรู้ความชำนาญในด้านการเป็นคุณพ่อเริ่มชำนาญขึ้น จึงสามารถแก้ไขปรับปรุงในสิ่งที่ผิดพลาดไปกับลูกคนต่อไปได้ดีขึ้น แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่ผมทำนั้น จะถูกต้องไปทั้งหมด มันอาจไม่เหมือนครอบครัวอื่นและอาจแตกต่างออกไปจากครอบครัวของหลายๆ คน แต่สำหรับผมแล้วผมคิดว่า นี่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ก่อนที่เค้าจะเติบโตและมีความคิดเป็นของตัวเอง
เราผู้เป็นพ่อแม่ก็อาจจะต้องเหนื่อย แต่ผมจะไม่ขอเหนื่อยมากไปกว่านี้ ยอมเหนื่อยแต่แรกเพื่อปลูกฝังดีกว่าจะไปเหนื่อยตอนผมแก่แล้วดัดเจ้าตัวเล็กที่กำลังเติบโตนั้นยากขึ้นทุกวัน เข้าเรื่องกันเลย…
ประเด็นแรกคือเรื่องอาหาร ในเนื้อหาแต่ละเรื่องผมก็อาจบรรยายไปบ้างแล้วทั้งใน blog ของน้องเปรม และ blog ของน้องแก้มหอม เริ่มต้นด้วยอาหารหลัก 3-4 มื้อ น้องเปรมผู้พี่เข้าเรียนแล้ว ปัจจุบันอายุ 7 ขวบกว่า อาหารเช้าก็จะเป็นอาหารทั่วไปเหมือนที่เรากินๆ กันนั่นแหละ โชคดีหน่อยที่คุณแม่เค้าทำอาหารเก่งและอร่อย น้องเลยรับประทานได้เยอะ ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องต้องเสริมสารอาหารอีก กังวลอย่างเดียวคือ ให้เค้าลดๆ บ้างก็เท่านั้น แต่จับออกกำลังกาย ทำกิจกรรม ก็ถือว่าสมดุลในระดับหนึ่ง
ส่วนเจ้าตัวเล็ก นี่ไม่ค่อยทานอาหารอะไรยกเว้นที่ชอบจริงๆ จึงเน้นในเรื่องของปลา และรสชาติที่เผ็ดนิดๆ ครอบครัวผมโชคดีที่ผมทานเผ็ด เด็กๆ เลยติดนิสัยทานเผ็ดนิดๆ ได้ไม่มีปัญหา ผัก นม เนื้อ ไข่ ไม่มีปฏิเสธ ขอให้ได้เผ็ดนิดๆ พออร่อยลิ้น แต่ก็ต้องเสริมด้วย ไข่ต้ม 1 ฟองทุกวัน ต้องบังคับกันเลยทีเดียว สรุปคือมื้อเช้ารับประทานปกติ ถ้าเป็นไปได้บังคับไข่ต้ม 1 ฟองก่อน+น้ำมันปลาเพิ่มโอเมก้า 3 ช่วงเช้า 1 เม็ด ผักใบเขียวต้มอีกนิดหน่อย กลางวันเค้าจะรับประทานที่โรงเรียน ส่วนเจ้าตัวเล็กรับประทานที่บ้านเหมือนอาหารทั่วไป มื้อเย็นก็มื้ออาหารปกติ อาจเสริมด้วยนม 1 กล่อง น้ำมันปลา 1 เม็ดแคปซูล
ประเด็นถัดมาคือ การเสริมสร้างพัฒนาการลูก สำหรับผมนั้น ในช่วงเป็นคุณพ่อมือใหม่พยายามยัดวิชาการไปเยอะมาก สอนเรื่องสี ขนาด รูปร่าง ตัวเลข สรุปลูกเครียด แม้น้องเปรมจะประกวดพัฒนาการของเด็กที่โรงพยาบาลใกล้บ้านชนะที่ 1 แต่รู้สึกบางอย่างลูกทำได้แต่ไม่ทำ ไม่กล้าแสดงออก กดดัน ผมเชื่อว่าลูกทำได้แต่ลูกไม่ทำ เช่น การวิ่งไปหยิบบอลสีที่กำหนด หรือเล่นกิจกรรมเก้าอี้ดนตรี จึงมาคิดว่าน่าจะผิด และก็คิดถูกจริงๆ เพราะผมปรับเอาวิธีการเหล่านี้มาใช้กับเจ้าตัวซนคนที่สอง เค้าประสบความสำเร็จในสิ่งที่พี่เค้าทำไม่ได้อย่างสิ้นเชิง อันนี้อาจโชคดีกับเด็กเองเพราะเค้าเกิดมาแบบนั้น หรือว่าเป็นเพราะพ่อแม่สอน ก็ไม่ทราบ
สรุปกิจกรรมทุกวันของผมกับลูกๆ คือการปล่อยให้เค้าเรียนตามปกติในโรงเรียน พอกลับจากโรงเรียนก็คือเข้าสู่โรงเรียนแห่งสวนสนุก จุดประสงค์คืออยากให้ลูกสนุกไปกับการเรียนรู้ของเค้าเองในทุกกิจกรรม ไม่ได้เน้นว่าจะต้องเก่งวิชาการ อ่านเขียนเก่ง คำนวณเลขเร็ว เรื่องพวกนี้เค้าพัฒนาไปตามวัยได้เอง ผมเชื่ออย่างนั้น โดยกิจกรรมหลักๆ ของทั้งสองซนก็คือ ช่วงเย็นๆ หลังเจ้าคนโตกลับจากโรงเรียน ก็จะพาทั้งคู่ไปเรียนรู้ธรรมชาติใกล้บ้าน (บ้านผมเป็นบ้านสวน) อย่างช่วงนี้น้ำในคลองแห้งก็จะพาไปดูน้ำในคลอง พร้อมถามว่าทำไมถึงแห้ง ถามแล้วก็ลุ้นว่าเค้าจะตอบว่าอย่างไร น้ำมาจากไหน ทำไมถึงมาอยู่ในคลอง แล้วทำไมน้ำถึงแห้ง แล้วจะทำให้น้ำไม่แห้งได้ยังไง
เค้าก็จะช่วยกันตอบ แข่งกันตอบ ตอบตามความคิดเค้า ผิดถูกไม่มี ผมแค่อธิบายว่า ในความจริงเป็นแบบนั้นแบบนี้ ส่วนจะเชื่อหรือเปล่าอีกเรื่องนึง แต่ผมจะไม่บอกลูกว่าน้ำมาจากไหน ทำไมถึงมาอยู่ในคลอง ทำไมน้ำแห้ง ทางแก้ปัญหาน้ำแห้ง ฯลฯ ก่อน ผมจะไม่บอกก่อน ให้เค้าใช้ความคิดของเค้าตอบมาก่อนว่าเค้าคิดอย่างไร ให้เค้าคิดเองแล้วเราแค่สนับสนุนในความคิดของเค้า ถ้ามันเป็นความคิดที่ดี แล้วจะพบกับคำตอบที่น่าทึ่งของเด็กๆ บางครั้งคำตอบอาจจะถูกมากกว่าตัวเราตอบเองซะอีก
ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ก็ให้รู้จักการปลูกต้นไม้ ปลูกผัก ผลไม้ ให้เค้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่เราทำทุกๆ กิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการหุงข้าว ล้างจาน กินข้าว ออกไปเดินเล่น ขี่จักรยานเล่น แล้วก็เล่นของเล่น เฉพาะตัวเลโก้ที่แม่เค้าซื้อมาก็กองใหญ่ ให้หัดต่อรูปร่างตามจินตนาการเค้า ผมก็ต่อของผมให้เค้าดู เค้าอยากได้ก็ทำให้แต่ต้องให้เค้าช่วยทำด้วยกัน พอสำเร็จเค้าจะภูมิใจมากกว่าการที่เราทำให้เองทั้งหมด กิจกรรมร้องเพลง ฟังเพลงคาราโอเกะแล้วร้องเล่นเต้นตาม
กิจกรรมเสริมทักษะการเรียนรู้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมฝึกทักษะตามวัย ไม่ได้เสริมวิชาการ หรือเคร่งเรื่องเรียนอะไร เรื่องการเขียนเจ้าตัวเล็กจะหัดจับปากกาเขียนก็ต่อเมื่อพี่เค้าทำการบ้าน ก็สอนให้เค้าจับขีดๆ เขียนๆ เสร็จก็อ่านนิทานให้ฟัง ชี้ภาพรูปสัตว์ต่างๆ ตามที่เคยดู ชอบเปิดสารคดีสัตว์โลกให้เค้าดูทั้งสองคน ก่อนนอนก็จะให้คนโตหัดอ่านหนังสือทุกคืน (เค้าจะง่วงเร็วขึ้น ประมาณ 2 ทุ่มก็ให้เข้านอนแล้ว ทุกวันไม่เว้นวันหยุด เค้าจะตื่นเช้าประมาณ 6 โมงพร้อมกับทำกิจกรรม เจ้าตัวเล็ก 2 ขวบครึ่งก็ให้หัดอาบน้ำเอง ทำอะไรเอง) หนังสือที่อ่านก็ไม่ใช่บทเรียน แต่เป็นนิทานสั้นๆ ก่อนนอน กาตูนสั้นๆ เค้าอ่านได้ วันไหนไม่ได้อ่านเค้าก็จะนอนเล่านิทานแต่งนิทานกันเองสองพี่น้องจนหลับกันไป ผมว่าเค้าฝันดีและมีความสุข
ส่วนอาหารเสริม ก็มีนมเอ็นฟาโกร รสจืด (กล่องสีน้ำเงิน) ตอนเช้ากับก่อนนอนของเจ้าตัวโต ส่วนตัวเล็ก กินนมแพะของดีจี + นมแม่ (ลูกผมกินนมแม่ถึง 3 ขวบ นมแม่เค้าก็ยังไหลดีอยู่) ผักต้มทุกชนิดที่สามารถหาได้ทุกมื้ออาหาร ไข่ต้มคนละฟองทุกวันมื้อไหนก็ได้แต่ต้องทุกวัน ข้าว หรืออาหารปกติ ไม่มีเสริมแบบอื่นแล้ว แค่นี้เอง ทุกอย่างได้จากอาหาร ส่วนน้ำมันปลา ตอนเช้าคนละ 1 เม็ดเค้าจะไปหยิบในตู้เย็นกินกันเอง เย็นก็อีกคนละ 1 เม็ด
พยายามให้เค้ามีความสุขกับการเรียนรู้ ผมเชื่อว่าถ้าเค้าชอบ เค้าต่อยอดเอง เราแค่สนับสนุน ทุกวันนี้ถามว่าลูกผมเก่งไหม ถ้าเทียบกับคนข้างบ้านก็ไม่เก่งเลย การเรียนอยู่ในระดับกลางๆ ไม่อ่อนเกินไปและก็ไม่เก่งจนโดดเด่น เทียบพัฒนาการอยู่ในเกณฑ์ดี เรียนอย่างมีความสุข คะแนนเต็ม 5 ได้ 4 บ้างได้ 2 บ้าง วิชาไหนได้ 2 ก็ถามว่าไม่ชอบเหรอ? เวลามีอะไรใหม่ๆ ที่เค้าสนใจก็จะมาถาม กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นแม้ว่ามันจะผิดหรือถูก เป็นที่รักของครูและเพื่อนๆ เราแค่สนับสนุนไม่ใช่บังคับให้ทำ อย่างไหนไม่ดีก็บอกให้เค้าคิดเองว่าเลือกจะตอบอย่างไร ถ้าได้ผลเค้าจะตอบในสิ่งที่เราคิดว่าดีแน่นอน เวลามีอะไรแปลกใหม่เค้าจะเอามาเล่าให้ฟังเป็นเรื่องราว ถ้าอันไหนดีเราก็สนับสนุน อันไหนไม่ดีเราก็จะแนะนำและห้ามปรามถ้ามันไม่สมควร
ผมไม่ได้ต้องการให้ลูกเก่งถึงขนาดสอบได้ที่ 1 หรือเก่งขนาดต้องคว้ารางวัลต่างๆ เพราะมันไม่ใช่สาระสำคัญ ไม่ได้อยากให้เป็นหมอ เป็นวิศวกร แค่ให้เค้ามีความสุขก็พอแล้ว เป็นอะไรที่เค้าเลือกแล้วไม่ลำบากในอนาคตก็น่าภูมิใจแล้ว อย่างตัวผมเองก็ใช่ว่าจะเก่งมาจากไหน ถ้าเค้าเติบโตมา เป็นที่รักของพี่ๆ น้องๆ เป็นที่รักของคนในครอบครัว เคารพตัวเอง เป็นคนดีในสังคม เอาตัวรอดได้ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
คลิปบางส่วน : https://www.youtube.com/user/toyotomim