ในสังคมปัจจุบันนี้ ดูเหมือนว่าจะมีความวุ่นวายไม่สงบเพราะคนจำนวนมาก ปล่อยตัวเองไปตามกระแสความเจริญทางด้านวัตถุและไม่ได้ใช้ความคิดพิจารณาแยกแยะให้ถี่ถ้วน ไม่ได้พัฒนาจิตใจให้เจริญไปตามวัตถุที่เจริญขึ้น คนเห็นแก่ตัวจึงเบียดเบียนคนอื่นด้วยวิธีการต่างๆ โดยไม่ได้รู้สึกผิดอะไร
โดยเฉพาะเมื่อคนที่มีอำนาจปกครองคนหมู่มาก แล้วขาดจริยธรรมด้านต่างๆ ก็เท่ากับเป็นการเข้ามาสร้างความทุกข์ให้แก่ผู้คนได้มหาศาล ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมคนเก่งจำนวนมากจึงไม่ได้เป็นคนดี แต่กลับเอาความรู้ที่มีมาทำร้ายหรือเอาเปรียบคนอื่น นั่นเพราะเราถูกกำหนดให้เรียนแต่เรื่องวิชาการต่างๆ สารพัดกว่าจะจบการศึกษาและเริ่มทำงาน ซึ่งหลายอย่างที่เรียนในบางเรื่องก็ไม่ได้เอามาใช้จนหลายคนคิดว่า ไม่รู้จะเรียนไปทำไมไม่ได้เอามาใช้เสียหน่อย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการดำรงชีวิตคือ เรื่องของการพัฒนาจิตใจตนเอง วิชาจริยธรรม กลับมีการสอนน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลยในบางสถานศึกษา ทำให้เรื่องศีลธรรม จรรยาบรรณ การประพฤติตน จึงขึ้นอยู่กับการใฝ่ดีของแต่ละคนไปโดยปริยาย สุดท้ายพอการดำเนินชีวิตผิดพลาด ก็ไปโทษสิ่งนั้นสิ่งนี้
อย่างในเรื่องของหนังสือจิตวิทยาต่างๆ สอนให้รู้จักธรรมชาติของมนุษย์เพื่อใช้พัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่น แต่คนมักใช้ไปในทางเรียนรู้วิธีเอาชนะใจคนเพื่อผลประโยชน์ตนเอง เช่น การหาทางทำให้ผู้อื่นยอมรับ การทำให้คนอื่นรัก การพัฒนาบุคลิกภาพเพื่อเป็นผู้นำ การเจรจาต่อรอง การจูงใจคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ การใช้กลยุทธ์และกลอุบายต่างๆ เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความกลัวหรือความโลภ เหล่านี้ หลายคนฝึกฝนจนกลายเป็นนิสัยและธรรมชาติส่วนตัวและรู้สึกว่าตัวเองเก่งแล้ว
แต่หลายคนก็ไม่มีความรู้สึกว่ามีความสุขในการทำอย่างนั้น เพราะมันไม่ใช่ความจริงใจแต่จำเป็นต้องทำ ไม่ว่าจะด้วยมารยาททางสังคม หรือกฏกติกาในการแข่งขัน เมื่อต้องฝืนใจทำมากๆ เข้า ก็กลายเป็นความเครียดและไม่มีความสุขไปอย่างนั้น
การดูแลจิตใจให้มีความคิดที่ดีต่อตนเองและผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเหนือทรัพย์ทั้งปวง เพราะแม้ว่าจะหาทรัพย์สินมาได้มากมายแค่ไหน หากจิตใจไม่สงบก็จะกลายเป็นทุกข์เท่ากับเงินทองที่มีก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตรงกันข้ามหากจิตใจเข้มแข็งแล้ว ต่อให้ประกอบการงานต่างๆ ใดๆ ที่มีอุปสรรคก็จะมีแต่ความก้าวหน้าไปตามหลักเหตุและผลโดยไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่นที่จะสร้างความสำเร็จให้แก่ตนเอง นี่คือเป็นความสุขทางใจอย่างแท้จริง
อ้างอิงเนื้อหา Last but not least ที่ Goumet & Cuisine : March 2014