ถูกแฟนคะยั้นคะยอให้กลับต่างจังหวัด เพราะเห็นว่าเหนื่อยหน่ายกับงานประจำที่ทำ พร้อมกับปัญหาไร้สาระอีกมากมายที่แอบเอามานั่งขบคิดอยู่คนเดียวไม่ยอมปริปากบอกใคร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องคน เรื่องโน่นนี่นั่น สารพัดจะเยอะจนปวดหัว เห็นบ่นๆ อยู่คนเดียว ซึมๆ ไม่สนุกสนานเหมือนเดิม ถูกขอบ่อยๆ เลยเอ๊า ไปก็ไปเผื่ออะไรจะดีขึ้นหลังกลับมา

จัดการเกเรงานต้นสงกรานต์ 1 วัน แม้ทางการจะประกาศให้เป็นวันหยุดแต่บริษัทที่ทำก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น กลับเป็นวันทำงานตามปกติ ก็เลยต้อง โดดงาน 1 วัน กลับคลองม่วง กระบี่ สถานที่เกิดและเติบโตในช่วงวัยเด็ก พร้อมกันภาพความทรงจำสีจางๆ ที่ยังคงติดอยู่ในหัวสมองมิลืมเลือน กลับไปคราวนี้ อะไรคงเปลี่ยนแปลงไปเยอะจนจำแทบไม่ได้ ถึงที่หมายโดยปลอดภัย และสิ่งที่คิดไว้ก็เป็นจริง สภาพบ้านเมืองและสถานที่ ที่เคยเดินเล่น ที่เคยเห็นในสมัยเด็กๆ แปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบที่คนทั่วไปเรียกว่า พัฒนา แต่ผมเห็นแล้วว่า สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปนั้นไม่ได้เป็นการพัฒนา แต่เป็นการทำลายมากกว่า

ออกจากกรุงเทพประมาณเช้าตรู ขับไปเรื่อยๆ ก็ไปถึงประมาณ 2 ทุ่ม หาอะไรกินรองท้อง ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ โดนฟันหัวแบะด้วยราคาอาหารที่แสนแพง ทั้งๆ ที่ดูแล้วจำนวนเครื่องปรุง ส่วนประกอบหลัก และค่าแรงไม่น่าจะถึง แต่เอาเหอะ ถือว่าทำบุญ และเค้าก็ยังคงขายได้อยู่เรื่อยๆ แต่สำหรับเราครั้งเดียวก็เกินพอ ถึงบ้านพักที่เป็นบ้านพี่สาว ก็ออกมาต้อนรับอย่างดี มีที่นอนที่กินที่นั่งเล่นครบ คุยปรับสารทุกสุขดิบตามประสาคนที่นานๆ เจอกันที กระทั่งหลับไปตอนไหนจำไม่ได้

เช้ามาเด็กๆ อยากไปเที่ยวทะเล วันนี้สงกรานต์วันแรก เท่าที่สมองคิดได้แหล่งท่องเที่ยวน่าจะคึกคักและแออัด ไปถึงสุสานหอย รถไม่มีที่จะจอดกันเลยทีเดียว กลับออกมาที่หาดอ่าวพระนาง โอ้โห ฝรั่ง เกาหลี จีน ไทย ไม่รู้ชาติไหน เล่นน้ำกันเพลินไปเลย ได้แต่นั่งดูน้ำลายหกบนที่นั่งคนขับพร้อมกับสายตาเขียวๆ ที่มาจากข้างๆ ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายน้ำลายหก ไม่รู้น้ำลายมันมาจากไหนเยอะผิดปกติ

กลับไปพักใจที่ คลองม่วง กระบี่

จากอ่าวพระนาง หาที่จอดไม่ได้ ต้องเลยไปหาดนพรัตนธารา ดันเจอตำรวจกั้นไม่ให้เข้า สงวนไว้ให้รถออก เลยต้องอ้อมเพื่อให้เสียเวลาเข้าไปอีก รถก็ติดคนก็เยอะ กว่าจะหาที่จอดได้ก็ต้องเสียค่าเช่าที่จอดไป 40 บาทเพื่อให้เด็กๆ ได้ลงเล่นน้ำให้สนุกสนาน ส่วนผู้ใหญ่ก็หาที่นั่งชมวิวสวยๆ นั่งมองเด็กๆ ทั้งเด็กน้อยเด็กใหญ่ให้หนำตา

แย่ชมัดนักเล่นสงกรานต์ที่หาดนี้ ตักน้ำทะเลใส่ถังหลายถังไว้บนกระบะรถ ทั้งฉีดด้วยปืนฉีดน้ำ ทั้งราดด้วยขัน คนขับจะรู้มั้ยนะว่า นี่น้ำเกลือนะจ๊ะ เลือกเล่นสงกรานต์ควรล้างรถโดยด่วนไม่งั้นสนิมกินเป็นแน่แท้ ไม่ต้องห่วงคนโดนสาดน้ำหรอก ถ้าน้ำเข้าปากมันก็คงจะรู้ในทันที แต่ห่วงเจ้าของรถกลัวจะไม่รู้ แต่คงไม่เป็นไรมั้ง เห็นโฆษณารถวิ่งในทะเลยังไม่เป็นไรเลย

สรุปวันที่ 13 เมษายน 2556 เล่นน้ำสงกรานต์ที่หาดนพรัตนธารา ใกล้ๆ กับที่ขึ้นเรือไปจุดชมวิวทะเลแหวก เสียดายไม่ได้ใช้บริการเพราะเด็กๆ ยังเล็กกลัวจะร้อน แต่วันนั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝนไม่ค่อยร้อนมาก สงกรานต์ทีไรฝนตกทุกทีแฮะ เกือบจะเย็นแล้วเลยบอกเด็กๆ ขึ้นรถกลับบ้านหาอะไรกินก่อนเข้านอน เช้าวันที่ 14 เมษายน 2556 ก็ไปเล่นใหม่ที่หาดคลองม่วง หาดเกาะกวาง คนก็เยอะอยู่ ไม่คิดว่าหาดสวยๆ ในสายตาเรา จะสวยในสายตาคนอื่นด้วย พอดีน้ำขึ้น เลยได้เล่นน้ำสมใจอยาก หากแต่เล่นไปซักครึ่งวันน้ำก็เริ่มลง โขดหินมากมายไม่สะดวกในการเล่นเท่าไหร่ที่หาดเกาะกวาง ส่วนหาดคลองม่วงโขดหินมีน้อยกว่า บางจุดไม่มีโขดหิน เล่นได้สบายใจไม่ต้องกังวลว่าจะไปเหยียบอะไรเข้า เสียอย่างเดียว หาดเกาะกวาง ยังอันตรายอยู่มาก ทั้งเศษแก้ว เศษขวดแตก ฯลฯ ถ้าเดินไม่ดูตาม้าตาเรือตาตัวเอง มีหวังเท้าเหวอะเอาได้ง่ายๆ

แต่เห็นเด็กๆ เล่นน้ำแล้วก็พาให้นึกถึงตัวเองในวัยเด็ก

เที่ยวคลองม่วง ช่วงสงกรานต์ 56

เราออกจากกระบี่กลับกรุงเทพฯ กันวันที่ 16 เมษายน 2556 ซึ่งก็ไม่รู้ว่าบริษัทที่ทำเค้าเปิดทำการหรือเปล่า แต่ก็ไม่คิดที่จะโทรถามหากเปิดก็ลาเปื่อยอีกวัน หากปิดก็ถือว่าโชคดี ออกจากกระบี่ประมาณ 10.50 น. กะว่าถึงกรุงเทพฯ ประมาณไม่เกิน 6 โมงเย็น แต่รถดันติดแถวๆ ช่วงออกจากชุมพรเข้าประจวบฯ ติดเป็นชั่วโมง ติดแถวๆ ตอนจะเข้าเพชรบุรีอีกชั่วโมง แล้วก็ไปติดก่อนจะออกจากเพชรบุรีอีกเกือบชั่วโมง ขับเร็วก็ไม่ได้ ถึงบ้านปาเข้าไปตี 1 ตื่นเช้ามาไม่อยากทำงาน ขอเกเรอยู่บ้านอีก 1 วันเหอะ ยังไงเค้าก็หักเงินอยู่แล้วถ้าไม่ได้เขียนใบลาไว้ล่วงหน้า ยกเว้นจะลาป่วย แต่ใครจะเชื่อว่ามาป่วยเอาตอนวันหยุดยาว

จะโกงเค้าก็ได้ด้วยการเขียนลาป่วย แต่ไม่ดีกว่า ไม่รู้ความดีนี้ใครจะเห็นค่ามั่ง กับอาการปวดเดิมๆ ความหงุดหงิดเดิมๆ ก็ยังไม่เห็นมีทีท่าว่าจะดีขึ้น เฮ่อ..ออ