ผ่านไปแล้ว 4 ตอน กับ 4 งานประจำที่ทำแล้วไม่รุ่ง หรือผมอาจไม่มีความสามารถที่เค้าต้องการจริง มันเลยทำให้ผมต้องผันตัวเองออกมา จากตอนที่แล้วงานล่าสุดคือการบริการในมินิมาร์ท คล้ายๆ เป็นพนักงาน 7-11 นั่นแหละ ถ้าใครเคยมีประสบการณ์ก็คงจะรู้ดี ผมเข้ากะดึกเสียส่วนใหญ่ งานค่อนข้างจะหนัก มันไม่ใช่งานที่มีรายได้สูงแบบที่คิด แต่มันผ่านไปแล้ว และจากประสบการณ์เหล่านั้นมันทำให้ผมคิดว่า ไม่มีงานไหนที่ผมจะทำไม่ได้อีกแล้ว

จาก 5 ปี เปลี่ยนงานมา 4 แห่ง คุณคิดว่าผมเปลี่ยนงานบ่อยไหมครับ ผมตั้งใจทำงานแต่กลายเป็นงานมันไม่เหมาะกับผมหรือผมยังไม่โชคดีที่ความก้าวหน้าในอาชีพยังมาไม่ถึงผม โอกาสยังไม่มี ก่อนเดินออกจากมินิมาร์ท ผมพูดกับตัวเองว่าผมจะต้องเอาดีให้ได้ดีกว่าไอ้ผู้จัดการร้านหน้าเห่ยนั่น ผมจะมีอนาคตที่ดีกว่าเค้าให้ได้ (ดีในตอนนั้นคือ มีหน้าที่การงานและเงินเดือนดีกว่าตำแหน่งผู้จัดการร้านมินิมาร์ท) และผมใฝ่ฝันว่าจะต้องหางานที่มีรายได้สูงทำให้ได้ และผมจะเรียนจบ ปวส.อยู่แล้ว

เมื่อผมจบ ปวส. ผมก็ได้เข้าเรียนต่อที่มหา’ลัยแถวๆ พัฒนาการกับเพื่อนอีกคนที่จบมาจาก ปวส.ที่เดียวกันห้องเดียวกัน โดยเราทั้งคู่ไม่ต้องสอบเพราะเกรดดีอยู่แล้ว หัวหน้าคณะสัมภาษณ์และรับเองเลย ในรั้วมหา’ลัยเป็นอะไรที่ใหม่มาก แต่ผมต้องใช้เงินค่าเทอมสำหรับการเรียนที่นี่ ผมไม่มีเงินเลยจึงต้องหางานใหม่ ผมตกงานอยู่ 2-3 เดือนก่อนจ่ายค่าเทอม โชคดีมีงานแถวพระโขนงเค้าเรียกเข้าไปสัมภาษณ์ และก็ได้เข้าทำงานในตำแหน่งธุรการ ที่นี่ผมได้ฝึกฝีมือในการพิมพ์ไทย-อังกฤษแบบจริงจังและผมก็ทำสำเร็จ พอย้อนกลับไปมองเมื่อตอนสมัครงานแล้วตกพิมพ์ดีดก็ทำให้คิดว่า ตอนนี้ผมเก่งแล้วจะกลับไปอีกครั้งเค้าจะรับหรือเปล่านะ

ผมสืบรู้มาว่าเพื่อนห้องเดียวกันสมัย ปวส. ก็ได้เข้าทำงานที่นี่ ผมคิดว่าหมอนั่นไม่เก่งเท่าไหร่ เรียนก็พอใช้ได้ โปรแกรมก็ไม่เก่งยังแอบลอกผมด้วยซ้ำ ทำไมเค้าถึงรับนะหรือว่าเพื่อนคนนั้นพิมพ์ดีดเก่ง แต่ผมก็ไม่ได้ตามเรื่องที่สงสัยเพราะจบออกมาแล้วและต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ

ผ่านไป 2-3 เดือนผมมีเงินเก็บมากพอแต่ยังไม่พอสำหรับค่าเทอม รอบนั้นเลยต้องรบกวนทางบ้านจัดหาให้อีกครึ่งหนึ่ง เรียนจนใกล้สอบกลางภาค เพื่อนที่ทำงานใหม่เลยชวนไปสมัครสอบเอ็นทรานต์ ผมก็เลยลองดู ปรากฏว่าสอบได้เฉย ก็เลยต้องต้องออกมาจากพัฒนาการและย้ายมาเรียนในเมืองกรุงฯ ผลสอบที่เก่าได้ 0 คือไม่ได้เข้าสอบย้ายโรงเรียนมาก่อนและทางบ้านไม่ทราบ เค้าหาว่าผมเอาเงินค่าเทอมไปเหลวไหล ผมเลยต้องอธิบายให้เค้าฟัง (แม่ภูมิใจมากวันที่ผมได้ปริญญามาครอง คิดไม่ผิดที่เรียนที่นี่)

ระหว่างเรียนปีแรกเพื่อนที่อยู่ห้องเรียนเดียวกันเห็นหน่วยก้านผมดีเลยชวนไปทำงานด้วย รายได้ดีมาก อาจเป็นงานที่มีรายได้สูงในตอนนั้นเลยก็ว่าได้เพราะแค่ 2 เดือนผมสามารถเอาเงินเหล่านั้นมาจ่ายค่าเทอมได้ไม่ต้องให้ทางบ้านช่วยเลย

ที่ทำงานมีเพื่อนร่วมงานดี มีนัดสังสรรค์ไปเที่ยวตรงกันวันก่อนสอบปลายภาค ผมไปเที่ยวกับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ทำงานใหม่นี้โดยขัดไม่ได้ หนังสือก็ไม่ได้อ่าน ผลสอบเลยออกมาทำให้ผมตกวิชา Operating System ต้องลงซ่อมและมันไม่เปิดในภาคถัดไป ต้องรอให้ภาควิชาเปิดซ่อมซึ่งก็ไม่รู้เมื่อไหร่ กลายเป็นว่าผมไม่รู้จะเรียนจบไหมถ้าไม่ได้เก็บวิชานี้ให้ผ่าน หลังจากนั้นเพื่อคนที่ชวนผมเข้าทำงานได้ลาออกเพราะได้งานใหม่ มันสัญญาว่าถ้ามีลู่ทางจะเรียกไปทำด้วย ผมก็รอ แถมที่ทำงานเก่าดันเปลี่ยนหัวหน้างาน เปลี่ยนผู้บริหารใหม่ยกชุด

กลายเป็นว่าผมเคว้ง พี่ๆ ก็ชิงลาออกไปแทบไม่เหลือคนเก่า ผมต้องทนทำงานต่อไปอีกเกือบจะครบปี วันนั้นมีประชุมใหญ่ หัวหน้าคนใหม่เลยชวนผมไปเป็นลูกมือด้วยและผมก็เริ่มสนิทกับแกมากขึ้น ตอนแรกคิดว่าเป็นคนดุแต่ใจดีมาก แต่แกบอกว่าจะอยู่ทำงานอีกไม่นานก็จะออก ผมก็คิดว่า ผมจะเคว้งอีกรอบในที่ทำงานเดียวกัน วันประชุมผมได้รู้จักเพื่อนๆ ของแกและลูกน้องของเพื่อนๆ แกหลายคน คุยกันถูกคอ

ประโยชน์ของการอยู่คนเดียว

หลังจากแกลาออกผมก็เริ่มไม่มีไฟ เหมือนว่าหางจะอยู่ได้ไงถ้าไม่มีหัว ผู้บริหารคนใหม่ก็เข้ามาแทนและก็ลากคนของตัวเองเข้ามาจนเต็มพื้นที่ไม่มีที่ว่างสำหรับคนเก่าที่เหลือผมอยู่คนเดียว เค้าแนะนำให้ผมอยู่ต่อถ้าหากปรับตัวเข้ากันได้ แต่ดูเหมือนพวกเค้ารักกันมาก ผมรู้สึกกลายเป็นคนนอกไม่เป็นที่สนใจ เค้าเรียกพบและให้พิจารณาตัวเองเพราะผมไม่มีไฟในการทำงาน ผมก็เลยบอกว่าขอลาออก (ตอนนั้นไม่รู้ด้วยว่าถ้าเค้าไล่ออกอาจได้ค่าชดเชยถ้าทนทำต่อ แต่ชิงลาออกก่อน)

ลอยเคว้งอยู่พักใหญ่กลับมาเรียนอย่างเต็มที่ ไม่นานเพื่อนที่สัญญาว่าจะหางานให้ทำก็ทำตามที่พูด (เพราะเรียนห้องเดียวกับมันอยู่) มันดึงให้เข้ามาทำงานที่สถาบันการศึกษา มันอยู่ฝ่าย IT คณะบริหาร และไม่มีตำแหน่งเพิ่ม แต่มีหน่วยงานเปิดใหม่ให้ลองไปสอบเข้าดู ผมตกลงทันที สอบข้อเขียน สอบภาคปฏิบัติ สอบสัมภาษณ์ ปรากฏว่าทำคะแนนได้ดีมากเพราะเชี่ยวชาญในวิชาชีพอยู่แล้ว และอาจโชคดีอีกอย่างคือ คนที่ทำอยู่ก่อนนั้นเค้าเรียนจบไปแล้วจากสถาบันเดียวกับผมและบอกว่าเคยเห็นผมนั่งรอรถเมล์กลับบ้านบ่อยๆ และเค้าสนิทกับหัวหน้าที่ต้องการคนมาช่วย ผมเลยกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ผ่านเข้ามาทำงานในที่แห่งนั้น

งานวันแรกผมยังใหม่ เพราะไม่ได้ใช้ทักษะวิชาชีพใดๆ ที่เรียนมาเลย แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ตอนนั้นใช้ตึกมหา’ลัยแถวเทเวศน์เป็นสำนักงาน ทำอยู่ 7 เดือนก็ย้ายไปยังสถาบันหลัก สร้างตึกใหม่ ผมมีโต๊ะทำงานใหม่ ได้งานตรงใจ ไม่มีความเครียด ทำอยู่ 3 ปีจนเรียนจบ (เรียนที่นั่น และทำงานที่นั่นไปด้วย) เหมือนจะดีแต่ไม่ดี เพราะตำแหน่งที่ผมทำก็แค่ พนักงานลูกจ้างชั่วคราว สถาบันการศึกษาไม่ค่อยรับพนักงานประจำยกเว้นจะจบสายครูมาและขยันทำซีทำตำแหน่งเพิ่ม

แต่ผมโชคดีผู้อำนวยการรักใคร่เพราะผมขยันทำงานเก่งเรียนรู้งานเร็วและชอบหาความรู้ใหม่ๆ ใส่ตัวเสมอ เค้าก็เลยสนองให้ผมทุกอย่างไม่ว่าอยากจะได้เทคโนโลยีอะไรเค้าอนุมัติหมด แต่ตำแหน่งผมตัน ต่อให้ทำจนแก่ตายผมก็คงอยู่แค่ลูกจ้างชั่วคราวเหมือนคนอื่นๆ ที่เข้ามาใหม่เรื่อยๆ กลายเป็นหน่วยงานที่มีคนมากขึ้นเรื่อยๆ พยายามหาลู่ทางเพื่อให้ตัวเองเติบโต เค้าก็บอกต้องสอบเข้าเป็นราชการให้ได้ แต่ก็ไม่เปิดรับซักที

พอเรียนจบรับปริญญา เพื่อนคนเดิมก็ได้บริษัทใหม่ มันก็ลาออกไปทำบริษัท ผมก็ยังอยู่ในสถาบันฯ แบบไม่โต เพื่อนมันก็สัญญาว่าจะหาลู่ทางให้ แล้วก็หายไปเฉยเลย ผมก็เลยต้องโตอยู่ในขวดใบเล็กๆ เช้าชาม เย็นชาม หรือนี่คือโชคชะตา ผมเหมาะกับงาน ผมมีความสามารถมาก แต่ตำแหน่งมันตัน มันก็ไปไม่ถึงไหน