ผมคิดเรื่องนี้ออกตอนเช้าวันอังคารที่ 9 ธันวาคม 2557 ในขณะที่กำลังแกะกล่องข้าวเพื่อจะรับประทานในตอนเช้าของวันที่แสนจะวุ่นวาย และงานรอค้างอยู่เต็มโต๊ะ เริ่มแรกผมพิจารณากล่องข้าวก่อนว่า แกะมาจะเจอกับอะไรหว่า เพราะไม่ได้ซื้อเองแต่แฟนซื้อให้ แถมมีแตงกวาห่อใหญ่แถมมา แสดงว่าในกล่องต้องเป็นแกงที่น่าจะเผ็ดมากอยู่ ผมมีความสงสัย ผมต้องหาหนทางแห่งการดับทุกข์ในเรื่องที่สงสัย ก็แค่แกะกล่องข้าวออกมาดู

พอแกะออกมาก็เจอกับอาหารสองอย่างราดบนข้าวสวยร้อนๆ ก็คิดไปถึงว่าคนเราต้องกินเพื่ออยู่ กินเพื่อที่จะมีแรงทำงาน หันไปมองโต๊ะน้องข้างๆ ก็เห็นแค่ผักต้ม ไข่ต้ม และน้ำพริกถ้วยเล็กๆ เค้าทานอาหารเช้าแบบนี้จะอิ่มเหรอ แล้วก็นั่งมองของตัวเองว่ามันเป็นอาหารมื้อหนัก คิดต่อไปว่าคนเรามื้อเช้าสำคัญสุด เช้า เที่ยง พอเย็นก็ค่อยลดปริมาณลงให้พออิ่มถึงจะดี คิดไปเลยเถิดว่า ถ้ากินแบบนี้จะผอมเหรอ แล้วหากกินสองมื้อจะยิ่งผอมหรือเปล่า (น้องโต๊ะข้างๆ กำลังลดความอ้วน) คนธรรมดาคงไม่กินสองมื้อ นึกถึงพระสงฆ์ที่ฉันสองมื้อ

นึกถึงว่าพระสงฆ์ฉันแต่ทำไมบางองค์อ้วน แสดงว่าไม่ได้ออกกำลังกาย ทำไม ก็เห็นว่ากิจทั้งวันจะต้องพิจารณาตนเองให้รู้แจ้งก่อนจะเปลี่ยนไปพิจารณาสิ่งอื่น แต่คนทั่วไปมีหน้าที่การงาน ไม่มีเวลาพอที่จะมาพิจารณาตนเองได้มากนัก คนจึงมีเวลาให้กิจอื่น แต่พระสงฆ์ไม่มีสิ่งอื่นที่ต้องทำนอกจากพิจารณาตนเองให้ถ่องแท้ถึงการหลุดพ้นบ่วงกรรม ยิ่งมีเวลามาก ยิ่งต้องเข้าถึงได้เร็ว เมื่อเข้าถึงแล้ว ก็เอาแนวทางมาสอนสั่งผู้อื่นให้หลุดพ้นตามไปด้วย

แต่สมัยนี้ปัจจุบันนี้ มีแนวทางของพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้อยู่แล้วเป็นหลักการที่นำทางไปสู่ความหลุดพ้น หนทางแห่งการดับทุกข์ ไม่ต้องใช้เวลามากทั้งชีวิต ไม่ต้องเสียเวลามากกว่าในอดีต ไม่ต้องนั่งเดาทางกันอีกต่อไป ดีแค่ไหนแล้ว แต่น่าแปลกที่น้อยคนนักจะทำตามอย่างได้ และบรรลุถึงจุดประสงค์เหล่านั้น น่าแปลกที่บางคนยังหลงทาง

เรื่องที่ผมเอ่ยถึงนี้ ผมอาจอ่านมาก ผ่านประสบการณ์มามาก ถึงได้รู้ หรือผมอาจเคยได้ยินใครบางคนพูดให้ฟังมามาก ถึงได้รู้ หรือยิ่งกว่านั้น ผมรู้ได้เองด้วยการทำจิตให้สงบนั่งพิจารณาเรื่องต่างๆ ให้ถ่องแท้ เป็นการตรัสรู้อย่างหนึ่ง

ผมก็ไม่รู้ว่าผมรู้ได้อย่างไร ในหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ผมรู้นี้ดูเหมือนมันจะไม่ใช่สาระสำคัญที่จะสืบหาที่มาที่ไปของข้อมูลว่ามาจากแหล่งใด ว่าผมรู้ได้อย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมว่าคนเราทุกวันนี้หลงทางกันแบบลืมตัวว่าตนเองหลงทาง พอรู้อะไรมาก็พยายามสืบหาต้นตอของแหล่งที่มา เพื่อที่จะยืนยันให้ตัวเองสบายใจได้ว่า มาจากแหล่งที่เชื่อถือได้

แหนทางแห่งการดับทุกข์ของผม

พอเอาเข้าจริง สิ่งที่ยืนยันว่าเชื่อถือได้ในบางครั้งก็กลับเป็นเรื่องเท็จไปเสียนี่

สิ่งสำคัญที่สุดของหนทางแห่งการดับทุกข์คือ เมื่อรู้เรื่องอะไรแล้ว ควรใช้จิตและสติที่เรามี พิจารณะถึงความเป็นไปได้ มากกว่าจะย้อนกลับไปตรวจสอบแหล่งที่มา มันง่ายกว่ากันเยอะ เมื่อพิจารณาแล้วว่ามันจริง ก็ให้เชื่อว่าจริง หากยังไม่รู้แจ้งก็พิจารณาต่อไป จนกระทั่งรู้ว่าเท็จ จริง เป็นอย่างไร เมื่อเห็นว่าเป็นเท็จ ก็แค่ปล่อยไป แล้วหันไปสนใจอย่างอื่นเสีย ไม่มัวมาติหรือต่อว่ากล่าว ว่าแหล่งนั้นเท็จอย่างนั้นอย่างนี้

เค้าเรียกยังไม่พ้นทุกข์ ทุกข์ที่ยังยึดติด ไม่ว่าจริงหรือเท็จ เราพิจารณาได้เอง อยู่ที่ว่าบทสรุปสุดท้าย เราถือมันไว้ หรือปล่อยวาง ถ้าถือไว้ ต่อให้จริงแค่ไหนก็ทุกข์ แต่ถ้าปล่อย แม้เรื่องจริงเราก็สุข

เหมือนอย่างที่ผมพิจารณาเรื่องข้างต้น ผมเห็นว่ามันจริง และผมก็ปล่อยวางว่า เรารู้แล้ว เราสุขแล้ว และละวางไป ก็ดับทุกข์ได้แล้ว