ใครที่มีเมตตา มักเจอแต่ความสุข ใครที่เจอคนมีเมตตา ก็เจอแต่ความสุขสมหวัง เมื่อใดก็ตามที่เราเจอคนที่เมตตาเรา โดยไม่ต้องไปคิดว่าสิ่งที่เค้าทำนั้นจะหวังผลจากเราภายภาคหน้าหรืออย่างไรก็ตาม ให้เรารับรู้แต่เพียงว่า เค้ามีเมตตา และรับเมตตาเพื่อความสุขแก่เขาและตัวเรา เมตตาไม่ถือเป็นบุญคุณ แต่การตอบแทนเมตตา คือการมีเมตตากลับคืน
เมตตามีความหมายว่าการปรารถนาให้เป็นสุข เมื่อใดเกิดความสงสารจริงใจ ไม่อยากเห็นทุกข์ของผู้อื่น ก็เข้าใจได้ว่าเมื่อนั้นเกิดเมตตาแล้วและจะต้องเกิดความกรุณาตามมา คือความพยายามที่จะช่วยให้เขาได้พ้นทุกข์อย่างจริงใจ เมตตาที่แท้จริงจึงแยกจากกรุณาไม่ได้จำเป็นต้องคู่กันเสมอ จึงกล่าวไว้แต่แรกแล้วว่า หากผู้ใดก็ตามมีเมตตากับเราโดยไม่ได้หวังสิ่งใด (คือมีกรุณาตามมา) เราควรมีเมตตากลับไปหาเค้าตอบ และควรแผ่ความมีเมตตานี้แก่ผู้มีทุกข์ด้วย จึงเกิดผลแห่งเมตตา
ความไม่มีเมตตาเป็นภัยต่อตนเอง ใจที่แล้งเมตตาไม่มีความสุขให้แก่ตัวเองและผู้ใด หากแต่เป็นที่รังเกียจหวั่นเกรงของผู้คนทั้งหลายและสัตว์ทั้งปวง การมีเมตตาเพื่อหวังผลตอบแทน ไม่ใช่การมีเมตตาที่แท้จริง คนไม่มีเมตตาไม่มีความสุข ยกเว้นเกิดจากความเข้าใจผิดและความเคยชินว่า สิ่งนั้นคือเมตตาและไม่รู้สึกละอายต่อความผิด คนเหล่านั้นช่างน่าสงสารนัก
เมตตาเป็นความสำคัญแก่ทุกจิตใจ สำหรับผู้ที่ปรารถนาจะสัมผัสรสของความเมตตาก็ลองนึกถึงเมตตาที่เคยได้รับจากผู้อื่น แม้สักครั้งเดียวในยามที่ปรารถนาความช่วยเหลือจากใครสักคนเป็นที่สุด ยิ่งเป็นยามคับขันมากเพียงใด จะยิ่งเห็นความสุขชุ่มชื่นของเมตตาที่ได้รับมากขึ้นเพียงนั้น ความปรารถนาด้วยความจริงใจให้ผู้อื่นเป็นสุขก็เท่ากับปรารถนาให้ตนเองเป็นสุขเช่นกัน ซึ่งจะให้ผลเป็นคุณแก่ตัวเองก่อน ลักษณะเดียวกับการมุ่งทำร้ายผู้อื่น จะให้ผลเป็นโทษแก่ตนเองก่อน จึงควรมีสติรู้ตัวเองว่ามีความมุ่งร้ายหรือปรารถนาดีต่อผู้อื่น
หากว่ารู้สึกว่ามีความไม่ปรารถนาดีเกิดขึ้นในใจก็ให้พยายามทำความรู้ตัวแก่จิตใจว่ามีความร้อนรนอย่างไรในขณะนั้น ให้พยายามเชื่อว่าแม้ทำความรู้สึกไม่ปรารถนาดีให้ลดน้อยลงได้แต่ไม่หมดสิ้น ความปรารถนานั้นจะให้ผลแก่ตัวเองก่อนเสมอ ไม่ว่าดีหรือไม่ดี
การสั่งสม การอบรมให้มีเมตตาขึ้นในใจ
ไม่มีผู้ใดปรารถนาที่จะให้ตนเองเป็นที่รังเกียจของผู้อื่น ทุกคนล้วนยินดีที่ได้รู้สึกว่าตนเป็นที่รักของคนอื่น แต่อาจไม่ค่อยได้คิดว่าเครื่องน้อมนำมาซึ่งความรัก ความจริงใจจากผู้อื่นนั้น คือเมตตานั่นเอง เพื่อให้ตนเป็นที่รักใครจึงต้องฝึกให้ตนเองมีเมตตาด้วยความตั้งใจจริง เมื่อมีมากขึ้นเพียงไร จิตใจก็จะอ่อนละมุนจนตัวเองรู้สึกได้เพียงนั้น
การพยายามคิดให้เห็นความน่าสงสาร น่าเห็นใจของทุกชีวิตที่ต้องประสบพบผ่านทุกวันเวลา เข้าใจในชีวิตของทุกสรรพสิ่งคือการอบรมฝึกมีเมตตา ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร เราไม่รู้อย่างไร แต่เมื่อใครคนนั้นผ่านเข้ามาในสายตาของเราให้เราสังเกตุทุกกริยา ให้ปรุงคิดเอาเองว่าเขาอาจกำลังมีทุกข์แสนสาหัส แต่อย่าหลอกตัวเองว่าเขากำลังมีทุกข์จริง ต้องมีความชั่งสังเกตุและรอบรู้ด้วย ไม่อย่างนั้นจะโดนหลอกเอาง่ายๆ ในเรื่องความมีเมตตาได้ การพยายามฝึกให้ตนเองมีเมตตามากเท่าไหร่ จิตใจก็จะเย็นลงได้ตามลำดับ ผลบุญแห่งความมีเมตตาในใจ จะทำให้จิตใจสบาย สงบ