จากผลโพลล์นักเศรษฐศาสตร์ชี้เศรษฐกิจไทยช่วง 3 เดือนข้างหน้าสดใส (จริงเหรอ) แต่ส่วนใหญ่กังวลปัญหาน้ำมันแพงเสี่ยงฉุดเศรษฐกิจแซงการเมืองวุ่นวาย นักวิเคราะห์ทั้งหลาย อดห่วงเงินเฟ้อไม่ได้ ย้ำดอกเบี้ยขึ้นต่อแน่ ภาคเอกชนหวังส่งออกปีนี้ขยายตัว 17% แนะร่วมมือรัฐรุกเจาะตลาดต่างประเทศ แน่นอนมันต้องเกิดขึ้นแน่ๆ กับภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ทำบ้านเมืองล่ม
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิ เคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ 26 แห่ง จำนวน 83 คน เรื่องดัชนีคาดการณ์เศรษฐกิจไทย 3 เดือนข้างหน้า (พ.ค.54) โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 19-25 ม.ค.ที่ผ่านมา
พบว่าดัชนีคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 58.11 เป็นระดับที่สูงกว่า 50 และอยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบการคาดการณ์ครั้งก่อน แสดงให้เห็นว่า นักเศรษฐศาสตร์มีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะปรับตัวดีขึ้นจากปัจจุบัน สำหรับการประเมินสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบว่า จาก 10 ปัจจัยที่ทำการสำรวจ มีถึง 6 ปัจจัยที่จะส่งผลด้านลบ ประกอบด้วย อันดับ 1 ราคาน้ำมัน 92.8% อันดับ 2 ปัจจัยด้านการเมือง 65.1% อันดับ 3 อัตราเงินเฟ้อ 65.1% อันดับ 4 วิกฤติหนี้สาธารณะยุโรป 53.0% อันดับ 5 อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ 47.0% อันดับ 6 อัตราแลกเปลี่ยน 42.2%
ด้าน นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ยอมรับว่า ปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยในปีนี้ คือ อัตราเงินเฟ้อ จากราคาสินค้าที่แพงขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่ทุกประเทศกำลังประสบอยู่ ขณะที่การดูแลปัญหาเงินเฟ้อนั้น คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกระทบต่อต้นทุนทาง การเงิน รวมถึงการใช้จ่ายของประชาชน เพราะเครื่องมือหลักในการนำมาดูแลคือดอกเบี้ยที่จะต้องมีการปรับขึ้น ปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 2.25% ขณะที่ผลการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ โดยรอยเตอร์คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือน มี.ค. พร้อมทั้งคาดว่า กนง.จะขึ้นดอกเบี้ยไปสู่ระดับ 3% ภายในสิ้นปีนี้
นายไพบูลย์ พลสุวรรณา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สภาผู้ส่งออกฯ ได้ประเมินทิศทางการส่งออกในปีนี้ว่า ยังมีการขยายตัวที่ดี โดยเฉพาะในด้านมูลค่าการส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวประมาณ 17% ส่วนปริมาณจะ ขยายตัวได้ 10% จากความต้องการสินค้าในตลาดต่างประเทศทั่วโลกยังมีสูง โดยเฉพาะสินค้าเกษตร
“จากการวิเคราะห์ข้อมูลของดัชนีการส่งออกซึ่งคำนวณจากสถานการณ์การส่งออก สินค้ารายกลุ่มอุตสาหกรรม รวม 25 กลุ่ม พบว่า ในปีที่ผ่านมาด้านราคาสินค้าส่งออกมีมากกว่าด้านปริมาณ เนื่องจากต้นทุนการผลิตและอัตราแลกเปลี่ยนทำให้การส่งออกยังขยายตัวในแง่ของ มูลค่า แต่ในด้านปริมาณลดลง จึงจำเป็นต้องเร่งผลักดันในด้านความร่วมมือของเอกชนหลังจากนี้ คือการร่วมเจาะตลาดกับหน่วยงานภาครัฐ จะเป็นตัวเร่งให้อัตราการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกได้ โดยเฉพาะกลุ่ม เกษตร ทั้งข้าว ไก่สดแช่แข็งและสำเร็จรูป มันสำปะหลัง ยางพารา ที่ตลาดต่างประเทศยังคงมีความต้องการอยู่” นายไพบูลย์กล่าว
ที่มา ไทยโพสต์