ในปัจจุบันการลงทุนผ่านกองทุนรวมมีรูปแบบให้เลือกลงทุนที่ค่อนข้างหลากหลายซึ่ง ผลตอบแทนของกองทุนแต่ละประเภทก็แตกต่างกันไปตามระดับความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุน โดยจากข้อมูลของ สมาคมบริษัทจัดการลงทุน รายงานผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุนแต่ละประเภท
ตั้งแต่ปี 1998-2004 พบว่าในช่วง 7 ปีที่ผ่านมานั้น “กองทุนตราสารตลาดเงิน” ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 0.84% ,”กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น” ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 4.21% , “กองทุนตราสารหนี้” ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5.02% ,”กองทุนผสม” ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.23% ,”กองทุนผสมแบบยืดหยุ่น” ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.85% และ “กองทุนตราสารทุน” ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.86% ผลตอบแทนที่แตกต่างกันของกองทุนแต่ละประเภทนี้ ก็คือโอกาสในการลงทุนนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม นายธีรวุฒิ สินธวถาวร ผู้อำนวยการฝ่ายจัดการลงทุน บล.พรูเด้นท์ สยาม ได้กล่าวว่าการจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดนั้น ขึ้นกับตัวผู้ลงทุนเองด้วยว่าสามารถที่จะรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน นอกจากนี้ยังขึ้นกับความรู้ความเข้าใจในการลงทุน ตลอดจนเวลาในการลงทุนด้วย สำหรับใครที่รับความเสี่ยงได้มาก มีความรู้ในเรื่องการลงทุน และมีเวลา การไปลงทุนด้วยตัวเองก็เป็นทางเลือกที่สามารถจะทำได้ เพราะต้องใช้เวลาในการติดตามข้อมูลค่อนข้างมาก
สำหรับคนที่ไม่มีเวลาก็อาจจะมาเลือกใช้บริการกองทุนรวมแทน โดยเลือกกองทุนให้เหมาะสมกับตัวเอง เช่น คนที่รับความเสี่ยงได้น้อยหรือไม่ต้องการเสี่ยงเลยรวมทั้งต้องการสภาพคล่อง ก็อาจจะเลือกกองทุนตรสารตลาดเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ไป หรือคนที่ไม่มีเวลาในการติดตามข้อมูลเพื่อหาจังหวะเข้าออกในการลงทุนด้วยตัวเอง สามารถรับความเสี่ยงได้บ้าง ก็อาจจะเลือกกองทุนรวมแบบผสม
“แต่ถ้าผู้ลงทุนมีความเข้าใจในการลงทุนยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้ แล้วมีเวลาที่จะติดตามการลงทุนบ้างก็อาจจะไปเลือกกองทุนหุ้นโดยที่ตัวเอง เป็นคนหาจังหวะในการเข้าลงทุนเองก็ได้ ทั้งนี้การเลือกกองทุนนั้นต้องเหมาะสมกับความต้องการของตัวเองด้วย ผู้ลงทุนไม่ควรจะลงทุนในสินทรัพย์อย่างหนึ่งอย่างใดเพียงอย่างเดียว หากแต่ควรจะมีการจัดสัดส่วนของการลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเอง โดยมีการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อย่างเหมาะสมเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน ที่ดีให้กับพอร์ตการลงทุนของตัวเองอีกด้วย” เขากล่าว
ที่มา : กรุงเทพ ธุรกิจ